ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน หารือหลายแนวทางยกระดับมาตรการคุมโควิด -19 ที่ยังแพร่ระบาดรุนแรง โดย มีรายงานว่ามีแนวคิดขยายพื้นที่ล็อกดาวน์ หรืออาจล็อกดาวน์ทั่วประเทศ รวมถึงกำหนดช่วงเวลาเคอร์ฟิวใหม่ เพื่อคุมการแพร่ระบาด เนื่องจากพบว่าตั้งแต่ประกาศล็อดาวน์ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค.เป็นต้นมายังพบการเดินทางข้าพื้นที่ของผู้คนจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเมื่อมีมาตรการล็อกดาวน์ก็ต้องมี มาตรการเยียวยา ด้วย
หลังรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว เพื่อดูแลสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในพื้นที่ซึ่งมีความเสี่ยงสูง หรือพื้นที่สีแดงเข้ม 10 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร, นครปฐม, นนทบุรี, ปทุมธานี, สมุทรปราการ, สมุทรสาคร, นราธิวาส, ปัตตานี, ยะลา และสงขลา ครม. ได้อนุมัติเงินเยียวยา มาตรการเยียวยา ล็อกดาวน์ ใครได้สิทธิบ้าง เช็คได้เลย สามารถตรวจสอบได้ ที่นี่ หรือ www.sso.go.th/eform_news
ตรวจสอบมาตรการเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์ในปัจจุบันพบว่า มีขอบเขตเงื่อนไขดังนี้
1. มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ โควิด19 สำหรับลูกจ้างและกิจการใน 10 จังหวัดสีแดงเข้ม ที่ประกาศเคอร์ฟิวเท่านั้น ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร ปทุมธานี นนทบุรี สมุทรปราการ นครปฐม สมุทรสาคร สงขลา ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส
2.มีมาตรการเยียวยาผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคม ทั้งผู้ประกันตนมาตรา 33 ผู้ประกันตนมาตรา 39 และผู้ประกันตนมาตรา 40 และผู้ที่นอกระบบประกันสังคม
ขอบเขตการเยียวยาต้องเป็นผู้ที่อยู่ในกิจการที่ถูกสั่งปิด หรือได้รับผลกระทบ 9 หมวดกิจการ ประกอบด้วย 1) ก่อสร้าง 2) ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร 3) ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ 4) กิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ 5) ขายส่งขายปลีกและซ่อมยานยนต์ 6) ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า 7) กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุนกิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์ และกิจกรรมทางวิชาการ 9) ข้อมูลข่าวสารและสื่อสาร
ขอบเขตการเยียวยา กิจการของถุงเงิน ในโครงการคนละครึ่ง ประกอบด้วย 1) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม 2) ร้าน OTOP 3) ร้านค้าทั่วไป 4) ร้านค้าบริการ 5) กิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่)
เงื่อนไขสำคัญ ระยะเวลาในการให้ความช่วยเหลือ 1 เดือน แต่อาจมีการขยายต่อตามสถานการณ์
- 8 รูปแบบมาตรการเยียวยาล็อกดาวน์แบ่งตามกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบ
1. ลูกจ้าง ที่เป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายเงินเยียวยาให้ 50% ของรายได้ แต่สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาท ยกตัวอย่างหากรายได้ 12,000 บาท ได้เพียง 6,000 บาท แต่หากรายได้ 20,000 บาท แม้ 50%คือ 10,000 บาท แต่ประกันสังคมจ่ายชดเชยว่างงานกรณีถูกเลิกจ้างจาก 9 กิจการเพียง 7,500 บาท เท่านั้น
เข้าลงทะเบียนที่ https://empui.doe.go.th/auth/index
และจ่ายสมทบให้ลูกจ้างสัญชาติไทยอีก 2,500 บาทต่อคน รวมแล้วได้สูงสุด 10,000 บาท
ทั้งนี้ผู้ประกันตนมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมเข้าตรวจสอบสิทธิเยียวยาได้ทีี่
คลิก ตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาผู้ประกันตนมาตรา 33
2. นายจ้าง ในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ในกิจการ 9 หมวด รัฐจะจ่ายให้ตามจำนวนลูกจ้าง 3,000 บาทต่อราย สูงสุดไม่เกิน 200 คน
3. สำหรับผู้ประกันตนตาม มาตรา 39 และ มาตรา 40 รัฐบาลจะช่วยเหลือค่าใช้จ่ายให้ 5,000 บาทต่อคน เตรียมรับเงินภาย น 23-25 ก.ค.นี้
4. ผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ ให้ขึ้นทะเบียน ผู้ประกันตนมาตรา 40 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท คลิกลงทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 40
5. ผู้ประกอบการที่มีลูกจ้างแต่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตามเข้าระบบประกันสังคม ม.33 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับเงินช่วยเหลือ
6. ผู้ประกอบการที่ไม่มีลูกจ้าง และไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคม ให้ขึ้นทะเบียนตามมาตรา 40 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท
7. ผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” 5 หมวด ภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราชนะ” ที่ “มีลูกจ้าง” ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม.33 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับเงินช่วยเหลือตามข้อ 1 และ 2 โดยได้ 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 ราย แต่ไม่เกิน 200 ราย
8. ผู้ประกอบการในระบบ “ถุงเงิน” 5 หมวด ภายใต้โครงการ “คนละครึ่ง” และโครงการ “เราชนะ” ที่ “ไม่มีลูกจ้าง” ให้ขึ้นทะเบียนตาม ม. 40 ภายในเดือน ก.ค. นี้ เพื่อรับค่าช่วยเหลือ 5,000 บาท
ขณะที่สำนักงานประกันสังคม ย่้ำว่า นายจ้างบุคคลธรรมดา และผู้ประกันตนที่ได้รับการเยียวยา จะได้รับเงินผ่านการโอนเข้าบัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการโอนเงินเข้าบัญชี